SEO คืออะไร

SEO คืออะไร มาทำความรู้จักกันดีกว่า

SEO คืออะไร บทความนี้เป็นบทความเก่าที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2011 ครับ บางเทคนิคยังสามารถใช้ได้อยู่ครับ ลิงค์บทความเก่า นำมาปรับแต่งเขียนใหม่นิดหน่อยครับ

สำหรับผมในยุคปัจจุบัน Search Engine Optimization (SEO) ยังสำคัญอยู่ครับ บางท่านยังไม่ทราบว่า SEO คืออะไร เพราะถ้าเราต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ Google เป็นอีกวิธีที่เข้าถึงได้ค่อนข้างเร็วครับ เพราะไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าอยากได้ข้อมูลอะไร ก็จะค้นหาผ่าน Google เสมอ และ Basic SEO แน่นอนถ้าเข้าใจหลักการของมัน สามารถนำไปต่อยอดได้เกือบทุกอย่าง แต่ต้องคอยปรับตาม Google Algorithm แต่ละครั้งที่มีการอัพเดท สำหรับ SEO ก็เป็นเพียงการตลาดวิธีหนึ่งเท่านั้นครับ

SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้เว็บไซต์นิดอันดับใน Google ได้อย่างรวดเร็ว เช่นการปรับแต่งโครงสร้างภายในเว็บไซต์ เป็นต้น การทำ SEO ถ้าเราติดอันดับหน้าแรกใน Google เราก็จะมีโอกาสที่มียอดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น ที่เรียกกันว่า Organic Traffic หรือ เป็นการเข้าชมเว็บไซต์ในรูปแบบธรรมชาติ ผ่านการใช้คีย์เวิร์ดค้นหาในหน้า Google ครับ ส่วนมากถ้าเว็บไซต์ติดอันดับอยู่เริ่มคงที่แล้ว เว็บไซต์ก็จะมีผู้เยี่ยมชมเข้ามาอย่างต่อเนื่องครับ

SEO เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน

SEO สามารถทำได้กับธุรกิจทุกประเภทครับ ที่มีหน้าเว็บไซต์และต้องการโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับใน Google โดยการทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจของเราประหยัดงบประมาณในการทำการตลาดระยะยาวด้วยครับ และเป็นการสร้างความน่าเชื่อให้กับธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับธุรกิจที่ทำการตลาดแบบ PPC (Pay Per Click) อยู่แล้วก็สามารถทำ SEO ไปพร้อมกันได้เช่นกันครับ

On-Page และ Off-Page คืออะไร

On-Page SEO คือปัจจัยภายในเว็บไซต์ ที่สามารถปรับแต่งโครงสร้างให้เหมาะกับ Google เช่น การปรับแต่ง Keyword, การเขียน Meta-Tags ให้เหมาะกับ SEO, การเขียนบทความคุณภาพไม่ซ้ำใคร (Unique Content), ลิงค์ภายในเว็บไซต์ (Internal Linking), ความเร็วหน้าเว็บไซต์ Page Speed คร่าวๆ ประมาณนี้ครับ ส่วน Off-Page SEO คือปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ การสร้าง Backlinks ไปยังเว็บไซต์ของเรา หรือการทำ Social Media, Content Marketing, Local SEO ก็ได้เช่นกันครับ

SEO คืออะไร

เตรียมเว็บไซต์ก่อนใช้บริการรับทำ SEO

ต้องทำเว็บไซต์ให้พร้อมครับ เช่น เนื้อหาภายในเว็บไซต์ ห้าม Copy & Paste เพราะถ้า Duplicate Content หรือบทความซ้ำกับคนอื่น มีผลเสียต่อการทำ SEO เป็นอย่างมากครับ เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ การเชื่อมโยงในแต่ละหน้าเว็บเพจ (Site Structure) เพื่อให้ Bot ของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลได้ทุกหน้า เพื่อนำไปแสดงผลครับ ถ้าเว็บไซต์ที่ไม่เคยทำมา SEO มาก่อนเลยจะใช้เวลาครับ ไม่เหมาะสำหรับคนใจร้อน ถ้าต้องการทำการตลาดอย่างรวดเร็ว แนะนำให้ใช้ Google Ads ควบคู่ไปด้วยครับ

1. สิ่งสำคัญอันดับแรกเลย Keyword

ควรเลือก Keyword ที่เป็น Niche Keyword เอาคร่าวๆ ก่อนละกันก็คือ พยายามดูคู่แข่งของ Keyword ที่เราต้องการจะทำ SEO ครับ พยายามดู หน้าแรกไว้ว่า Keyword นี้คู่แข่งง่ายหรือยาก เบื้องต้นดู Domain/Page Authority เป็นหลักครับ

เครื่องมือของ Google: เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม Google Keyword Planner

2. สิ่งสำคัญอันดับสอง Quality Content บทความคุณภาพ

Google จะชอบเว็บไซต์ที่มีบทความคุณภาพครับ พยายามเขียนให้อ่านรู้เรื่อง และถ้าเป็นบทความที่มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหาจะยิ่งดีครับ บางทีเราอาจจะได้ Backlink อ้างอิงกลับมาด้วยครับ จากเว็บไซต์ที่เอาบทความเราไปใช้อ้างอิงครับ และ ถ้าสมมุติอยากจะทำเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ แต่ไม่สามารถเขียนได้ จะทำยังไงดีละ ลองมองบริการ จากเว็บไซต์ตัวอย่างด้านล่างนี้ก็ได้ครับ

https://www.upwork.com/
httsp://www.fiverr.com/

หรือใช้อีกเทคนิคหนึ่งก็ใช้วิธี Copy แล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ ให้มันเป็นบทความฉบับใหม่ให้ได้ (Unique Content) แต่สิ่งที่ห้ามทำเลยก็คือไป Copy เว็บไซต์อื่น มาทั้งหมดจะทำให้เกิดบทความซ้ำกัน(Duplicate Content) หรือถ้าบางบทความ จำเป็นต้อง Copy จริงๆ ก็ควรจะใส่เครดิตให้เจ้าของบทความด้วยครับ

Search Engine Optimization

3. สิ่งสำคัญอันดับที่สาม Onpage SEO

Onpage SEO คืออะไร หลายคนไม่รู้จัก ซึ่งเป็นวิธีที่สำคัญมาก บาง Niche Keyword เราไม่ต้องไปทำอะไร ก็มีโอกาสสามาถขึ้นอันดับที่ 1 ได้เลย ถ้า Onpage SEO ที่ปรับแต่งดี

On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ สำหรับเครื่องมือค้นหา Search Engine และผู้ใช้งานเว็บไซต์ อย่างเช่นการปรับแต่ง ลิงค์ภายใน (Internal Linking) การปรับชื่อ Title, Description, Tags การปรับเนื้อหา (Content) การปรับ SEO-friendly URLs การปรับ Keyword Density ให้เหมาะกับหน้าเว็บไซต์ ไม่ให้ Keyword ในเนื้อหามากจนเกินไป ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ หรืออาจจะเป็นการปรับ Page Speed การบีบอัดรูปภาพ เป็นต้น การปรับแต่ง On-Page จะเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ ให้เหมาะสำหรับการทำ SEO และ สำหรับเว็บไซต์ที่ทำด้วย WordPress ก็จะมีปลั๊กอินที่สามารถช่วยปรับแต่งได้เพิ่มเติมครับ

เช่นสมมุติผมมี Domain อยู่ 1 อัน ชื่อว่า น้ำท่วม.com ผมก็ควรจะทำตามนี้

Title: น้ำท่วมแต่ตอนนี้น้ำแห้งแล้ว– ควรใส่ไม่เกิน 60 ตัวอักษร
Description: ตอนนี้มีน้ำท่วมอยู่มากมายหลายจังหวัด– ควรใส่ไม่เกิน 160 ตัวอักษร
Keyword: น้ำท่วม,น้ำท่วมภาคกลาง – คีย์เวิร์ดต่อหน้า ใส่ 3-5 คำก็พอครับ

สามารถปรับแต่งที่ลิงค์นี้ได้ครับ Meta Tag Generator

สำหรับ Content ในแต่ละ Content แนะนำวิธีปรับแต่งคร่าวๆ ครับ

1. ควรมี Keyword อยู่ใน URL https://www.mysite.com/น้ำท่วม
2. ควรมี Keyword อยู่ใน Title ของหน้า เช่น น้ำท่วม ฝนถล่มหนักแต่เช้า
3. ควรมี Keyword อยู่ในเนื้อหาของบทความใน Paragraph แรก หรือ 150 คำแรก
4. ควรใช้ H1, H2, H3 Tags ของหัวข้อย่อยบทความ เรียงลำดับความสำคัญ
5. ควรใช้ LSI Keyword (คำที่เกี่ยวข้องกับ Keyowrd หลัก ให้อยู่ในเนื้อหาของคุณ
6. ควรย่อขนาดไฟล์รูปภาพ ช่วยเรื่องความเร็วของหน้าเว็บไซต์ แนะนำ Tinyjpg
7. ควรใส่คำอธิบายรูปภาพ (Alt Tags) ให้กับรูปภาพทุกครั้ง
8. ควรทำลิงค์ภายในเว็บไซต์ ลิงค์ไปหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
9. ควรทำลิงค์ภายนอกเว็บไซต์ ลิงค์ไปหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกัน
10. ตรวจสอบ Broken Links (ลิงค์ที่ไม่สามารถเข้าได้)
11. ปรับแต่งความเร็วของหน้าเว็บไซต์ เช็คได้ที่นี่ PageSpeed Insights

On-Page SEO คืออะไร

4. สิ่งที่สำคัญอันดับที่สี่ Off Page SEO

Off Page SEO คืออะไร ก็คือทุกๆ สิ่งที่เกี่ยวกับ Backlink นั่นเอง Backlink คืออะไร Backlink คือ Link ที่มาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ไม่ใช่เว็บของเรา แล้วถ้าเราได้ Backlink เยอะๆ จะดีไหม ถ้าทำไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทยอยทำ มันจะมีผลดีมากครับ เพราะเรามีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดูเป็นธรรมชาติที่สุด แต่ในทางกับกันถ้าเราทำครั้งเดียวเยอะๆ มากๆ ไปเลย มันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่นอน สรุปแนะนำให้เราค่อยๆ ทยอยทำไปเรื่อยๆ จะให้ผลดีกว่าครับ

Off-Page SEO คือ การทำภายนอกเว็บไซต์ ที่จะส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Search Engine เช่น Google ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในการจัดอันดับของ Search Engine การทำ Backlink จึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO การที่มี Backlink แบบที่มีคุณภาพเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ ก็จะส่งผลต่อการจันอันดับ โดย Backlink ก็จะมีหลายประเภท เช่น Backlink ที่เป็นแบบธรรมชาติ, Backlink ที่สร้างขึ้นเอง และยังมีนอกเหนือจาก Backlink ซึ่งจะช่วยในเรื่องของอันดับเช่นกัน อาทิเช่น Social Media Marketing, Guest Blogging เป็นต้น

ทำ Off Page SEO สร้าง Backlink เข้าเว็บไซต์ จะแนะนำคร่าวๆ นะครับ

1. Main Keyword – Keyword หลัก
2. LSI Keyword – คำที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก
3. Naked URL – URL ของหน้า
4. Brand Name – ชื่อแบรนด์ของเรา
5. Generic Keyword – ยกตัวอย่างเช่น อ่านต่อคลิกที่นี่

Different C-Class IP หรือ SEO Network แนะนำว่าต้องเป็นหมวดหมู่ เนื้อหาเดียวกันนะครับ หรือ แนะนำให้ใช้เป็น Web 2.0 แบบฟรีก่อนก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น WordPress หรือ ลองค้นหาใน Google มีคนนำมาแจกอยู่ครับ Web 2.0 List

Guest Posting การขอเขียนบทความบนเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา และลิงค์กลับมาที่เนื้อหาของเรา

Trust,Authority โดย Google ชอบ Backlink ที่มาจากเว็บที่มีความเชื่อถือครับ และ Google ชอบเว็บคุณภาพ ที่มีบทความแล้วอ้างอิงที่มา จากเว็บต่างๆ ที่นำข้อความของเราไปโพสต่อครับ

Profile Links สมัครสมาชิกเว็บไซต์ แล้วใส่เว็บไซต์ ของเราไปใน Profile เราจะได้ Backlink ทุกๆ เว็บไซต์ครับ

Video Marketing ถ้าเรามีวีดีโอของเว็บไซต์ก็สามารถทำ Backlink จาก Video ได้ครับ

Document Sharing ถ้าเรามีไฟล์อะไรก็แล้วแต่ ที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย เราสามารถนำไปแชร์กับคนอื่นๆ แล้วสามารถแปะไว้ใน PDF ก็ได้ครับ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่เราสามารถได้ Backlink ครับ

White Hat และ Black Hat SEO

หลายคนน่าจะเคยได้ยินกัน โดย White Hat SEO หมายถึงการทำ SEO แบบแนวทางที่ดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด และกลยุทธ์ที่ปฏิบัติตามกฎของเครื่องมือค้นหา ส่วน Black Hat SEO หมายถึงเทคนิคและกลยุทธ์ ที่ผิดกฎของเครื่องมือค้นหา ไม่ว่าจะเป็นการทำสแปม Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกลงโทษหรือถูกลบออกจากผลการค้นหาได้เลยครับ